พัฒนาและการเข้าใจตัวเอง ผ่านการฝึก ”โยคะ” 

ในยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบ เรามักถูกสิ่งต่างๆ เร่งเร้า จนบางครั้งลืมสังเกตหรือสำรวจตัวเองว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาร่างกายเราเป็นอย่างไรบ้าง ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า?

วันนี้เราจะมาเรียนรู้และเข้าใจตัวเองให้มากขึ้นผ่านการฝึกโยคะกัน

สวัสดีครับ ผม “ก้อง” นามปากกาที่มักใช้คือ “Fonu” เป็นชื่อที่คนอื่นจำได้จนบางครั้งลืมไปว่าผมชื่อจริงว่าอะไร 55555 เศร้าา

ก่อนอื่นต้องสารภาพตามตรงว่าผมเองก็ไม่ใช่กูรูด้านโยคะ ผมเป็นเพียงคนหนึ่งที่เริ่มฝึกเพื่อรักษาออฟฟิศซินโดรม เหมือนใครหลายๆ คนที่คิดว่าเล่นโยคะแล้วต้องหายแน่ๆ

แต่ก็นั่นแหละครับ ถึงจะผ่านมา 5 ปีแล้ว ผมก็ยังปวดคอ บ่า ไหล่ เหมือนเดิม… เห้ย เดี๋ยว! แต่สิ่งที่ได้จากการฝึกโยคะ คือการ “ตระหนักและเข้าใจตัวเอง” มากกว่าสิ่งอื่นใด และนี่คือสิ่งที่ผมได้รับจากการฝึก


การเข้าใจร่างกายและจิตใจตัวเอง

หลายคนคิดว่าการฝึกโยคะคือการยืดเหยียดและฝึกสมาธิ แต่ความแข็งแรงของร่างกายก็สำคัญมากเช่นกัน ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้มือใหม่หลายคนล้มเลิกไป

ผมเองก็เคยผ่านความเจ็บปวดจากการเริ่มต้นมาแล้ว ถามว่าตอนนี้ยังทรมานไหม? ตอบเลยว่า… เหมือนเดิม 5555 แต่เราก็อยู่กับมันได้ และท้าทายตัวเองขึ้นไปอีกระดับ มันจะยากขึ้นและทรมานขึ้นเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่น ท่า “Forward Bend” ถ้าดูจากภาพ มันก็ดูเหมือนจะง่ายใช่ไหมครับ? ก็แค่ยืนแล้วเอามือแตะพื้น แต่สำหรับคนที่ไม่เคยฝึก บอกเลยว่า ร้อยทั้งร้อยต้องเจอกับความเจ็บปวดแน่นอน 555

ท่านี้เป็นการยืดกล้ามเนื้อ “Hamstring” และข้อต่อสะโพก ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่า ต้องโค้งหลังช่วยเพื่อให้แตะพื้นได้ แต่จริงๆ แล้ว หากเข้าท่าถูกต้อง จะรู้เลยว่าข้อต่อสะโพกและกล้ามเนื้อ Hamstring ของเรายังไม่ยืดหยุ่นพอ และถ้าฝืนทำ อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้

หลายคนอาจไม่รู้ว่าความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของร่างกายซ้าย-ขวาไม่เท่ากัน ด้านซ้ายอาจยืดหยุ่นกว่าด้านขวา หรือด้านขวาอาจแข็งแรงกว่า

ดังนั้นแต่ละท่าจึงมีความยากแตกต่างกัน บางท่าเราอาจทำไม่ได้เลย แต่บางท่าเรากลับทำได้ดีมากจนคิดว่า “เชี้ย นี่แหละท่าของกู!” 555

สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่าจุดไหนต้องเสริมสร้างความแข็งแรง จุดไหนต้องเพิ่มความยืดหยุ่น เมื่อเข้าใจร่างกายมากขึ้น เราก็สามารถพัฒนาตัวเองได้ตรงจุด


การยอมรับความเป็นจริง

ตลอด 5 ปีของการฝึกโยคะ ผมได้รับการยอมรับจากหลายๆ คนในคลาสว่าเป็น “ตัวแทนหมู่บ้าน” ท่ายากๆ ผมมักจะทำได้ดี (อวยตัวเองเกิ๊น)

ความที่เราทำได้ดีเสมอ (ซึ่งจริงๆ แล้วเพราะมีแต่หน้าใหม่เข้ามาต่างหาก 555) ทำให้ผมเกิด Ego ว่าทุกท่าผมต้องทำได้ดีกว่าใครๆ

แต่แล้วก็ถึงวันที่มีคนทำได้ดีกว่าผม… ใช่ครับ ผมรู้สึกพ่ายแพ้ทันที! ทั้งๆ ที่การฝึกโยคะไม่ควรมีคำว่า “แพ้” ไม่ว่าจะกับคนอื่นหรือกับตัวเอง เชี้ยยย ขนลุก

ครูมักพูดเสมอว่า “อย่าไปแข่งกับใคร ทำของเราให้ดีที่สุด ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน ระยะเวลาฝึกไม่เท่ากัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจตัวเอง”

จุดที่ทำให้ผมคิดได้คือ 6 เดือนที่ต้องหยุดฝึกโยคะไป พอกลับมาอีกที มือใหม่หลายคนกลายเป็นแถวหน้าของคลาส จากที่ผมเคยเป็น No.1 มาตลอด ผมก็อยากได้ตำแหน่งนั้นคืนมา

ผมยอมแลกทั้งความเจ็บปวดของร่างกายและจิตใจเพื่อให้ได้มันคืนมา แล้วเป็นยังไงล่ะ? สุดท้ายก็เกิดอาการบาดเจ็บ… และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจะกลับมาเหมือนเดิม

คุ้มไหม? …ไม่เลย ได้แต่ก้มหน้ายอมรับและหวังว่าจะกลับมาได้เร็วที่สุด T__T

แม้ว่าผมจะฝึกโยคะมาหลายปีและเข้าใจร่างกายตัวเองดีแค่ไหน แต่ถ้ายังไม่สามารถยอมรับความเป็นจริง ก็จะตกอยู่ในกับดักความคิดของตัวเอง และทำให้เป้าหมายในการฝึกไกลออกไปเรื่อยๆ


การฝึกสภาพร่างกายและจิตใจ

นอกจากการฝึกความยืดหยุ่น สร้างความแข็งแรง ปรับท่าทาง และพัฒนาสมดุลของร่างกายแล้ว บางท่าก็อันตรายหากไม่ได้รับคำแนะนำจากครูฝึก

เช่นท่า Headstand ท่านี้ต้องอาศัยทั้งความแข็งแรง ความสมดุล และสภาพจิตใจที่กล้าหาญ หลายคนไม่กล้าลองเพราะคิดว่ามันอันตราย และผมก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น

แต่แล้ววันหนึ่งผมตัดสินใจลอง… แล้วเห้ย! เราก็ทำได้นี่หว่า 5555 จริงๆ มันไม่ได้ยากและไม่ได้อันตรายขนาดนั้น (ถ้าอยู่ในการดูแลของครู)

หลายครั้งในชีวิต เราอาจมีโอกาสทำอะไรใหม่ๆ แต่กลับปล่อยผ่านไปเพราะคิดว่ามันยาก ทั้งที่ยังไม่ได้ลอง… เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก


สรุป

หากใครสนใจเริ่มฝึกโยคะ ตอนนี้มีสตูดิโอมากมาย หรือจะเริ่มจากคลาสต่างๆ ในฟิตเนสแบบที่ผมทำก็ได้

สุดท้ายนี้… การเข้าใจตัวเองไม่จำเป็นต้องผ่านโยคะเพียงอย่างเดียว ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่ช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น

ขอให้ทุกคนสุขภาพกายและใจแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

นมัสเต^__^